วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วันแม่แห่งชาติ 2559


วันแม่แห่งชาติ 2559

วันแม่ของทุกปีจะตรงกับวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งในปี 2559 นี้วันแม่จะกับวันศุกร์ เป็นวันหยุดราชการติดต่อกัน 3 วัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เหมาะกับการชวนแม่ออกไปเที่ยว ใช้เวลากับแม่ที่เรารัก รวมไปถึงการทำประโยชน์ต่างๆ เพื่อสังคมส่วนรวม
     วันแม่แห่งชาติ ที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า วันแม่ ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ตรงกับ วันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือวันที่ ๑๒ สิงหาคมอันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ และถือว่าเป็นวันแม่แห่งชาติด้วย โดยในปี 2559 นี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ มีใจความว่า... 
พระราชินีพระราชทาน "คำขวัญวันแม่แห่งชาติ"  ประจำปี 2559
คำขวัญวันแม่ 2559
"สอนให้ลูกทั้งหลายเดินสายกลาง
ทำทุกอย่างพอดีมีเหตุผล
ประกอบด้วยคุณธรรมนำทางตน
ย่อมได้คนดีพอต่อบ้านเมือง"

ความหมายของดอกมะลิ

     ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์และเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเย็นระรื่นใจ จึงยกย่องให้ดอกมะลิเป็นสัญลักษณ์ เป็นดอกไม้วันแม่แห่งชาติ ซึ่งทางราชการให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมา อ่านเพิ่มเติม

ประวัติวันแม่แห่งชาติ

     แต่เดิมนั้น วันแม่แห่งชาติได้กำหนดเอาวันที่ ๑๕ เมษายน ของทุกๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรองเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๙๓ ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่ มาตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นครั้งแรก เป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างออกไปได้ การจัดงานไม่เพียงแต่จัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ ประกวดคำขวัญวันแม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของงานวันแม่ให้ยิ่งๆ ขึ้น ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาล ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม (สมัยนั้น) แต่ทั่วไปเรียกกันว่า วันแม่ของชาติ
 
     ต่อมาถึง พุทธศักราช ๒๕๑๙ ทางราชกาารได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็น วันแม่แห่งชาติ เริ่มในปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ เป็นต้นมา จากหนังสือของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ชื่อแม่หลวงของปวงชน พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐ มีข้อความตอนหนึ่งเทิดพระเกียรติไว้ว่า
 
     "แม่ที่ดีย่อมรู้จักส่งเสริมธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ เพราะแม่ทราบดีว่าถ้าขาดสิ่งเหล่านี้แล้วความเป็นไทยที่แท้จริงจะมิปรากฏอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา
 
     แม่ที่ดีย่อมประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี ตามระบอบของการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข โดยรักเคารพและเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด
 
     หญิงไทยทุกคน ย่อมจะมีคุณลักษณะต่างๆ ของแม่ที่ดีดังกล่าวข้างต้นอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการศึกษาและการฝึกอบรม แต่จะหาหญิงใดที่มีคุณลักษณะครบถ้วนทุกประการเสมอเหมือนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ นั้นไม่ง่ายนัก ด้วยเหตุนี้เราจึงขอเทิดทูนพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่าทรงเป็นแม่หลวงของปวงชน ผู้ทรงเป็นศรีสง่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของบ้านเมืองและของประชาชนชาวไทยทั้งมวล"
 
     ดังกล่าวนี้เป็นเรื่องของวันแม่ของชาติตามเหตุผลของทางราชการ
 
     ส่วนที่เกี่ยวกับวันแม่ของไทยตามความรู้สึกนึกคิดทั่วไปของคนไทยผู้เป็นแม่ คำว่า แม่ นี้เป็นคำที่ซาบซึ้ง ไม่มีการกำหนดวัน เวลา แต่มีความหมายลึกซึ้งกินใจของผู้เป็นแม่และลูกมานานแล้ว ดังสำนวนไทยประโยคหนึ่งว่า "แม่ใครมาน้ำตาใครไหล" ซึ่งพระวรเวทย์พิสิฐได้อธิบายไว้ในหนังสือวรรณกรรมเรื่อง "แม่" ว่า
 
     "เด็กไทยตามหมู่บ้านในสมัยที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กมักเล่นกันเป็นหมู่ๆ เด็กคนไหนแม่อยู่บ้าน เวลาเขาเล่นอยู่ในหมู่เพื่อนหน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กคนไหนที่แม่ไม่อยู่บ้าน ต่างว่าไปทำมาหากินไกลๆ หรือไปธุระที่ไหนนานๆ ก็มีหน้าตาเหงาหงอย ถึงจะเล่นสนุกสนานไปกับเพื่อนในเวลานั้นก็พลอยสนุกไปแกนๆ จนเด็กเพื่อนๆ กันรู้กิริยาอาการ เพราะฉะนั้น พอเด็กๆ เพื่อนๆ แลเห็นแม่เดินกลับมาแต่ไกลก็พากันร้องขึ้นว่า แม่ใครมาน้ำตาใครไหล แล้วเด็กคนนั้นผละจากเพื่อเล่นวิ่งไปหาแม่ กอดแม่ น้ำตาไหลพรากๆ ด้วยความปลื้มปีติ แล้วจึงหัวเราะออกลักษณะการที่เด็กแสดงออกมาจากน้ำใจอันแท้จริงอย่างนั้นย่อมเกิดจากความสนิทสนม ชิดเชื้อมีเยื่อใยต่อกัน แม่ไปไหนจากบ้านก็คิดถึงลูกและลูกก็เปล่าเปลี่ยวใจเมื่อแม่ไม่อยู่บ้าน นี่คือธรรมชาติ ไม่มีใครสร้างสรรค์บันดาล มันเกิดขึ้นเอง"
 
     และอีกตอนหนึ่งในหนังสือเล่มเดิมที่อ้างข้างต้นให้ความหมายของคำว่า "แม่" ว่า
 
     "เสียงที่เปล่งออกมาจากปาก เป็นคำที่มีความหมายว่า แม่เป็นเสียและความหมายที่ซึ้งใจมีรสเมตตาคุณ กรุณาคุณ และความรักอยู่ในคำนี้บริบูรณ์ เด็กน้อยที่เหลียวหาแม่ไม่เห็นก็ส่งเสียงเรียกตะโกนเรียก แม่ แม่ ถ้าไม่เห็นก็ร้องไห้จ้า ถ้าเห็นแม่มาก็หัวเราะทั้งน้ำตา นี่เพราะอะไร เราเดาใจเด็กว่า เมื่อไม่เห็นแม่ เด็กต้องรู้สึกใจหายดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่าขาดผู้ที่ปกปักรักษาให้ปลอดภัย แต่พอเห็นแม่เข้าเท่านั้นก็อุ่นใจ ไม่กลัวเกรงอะไรทั้งหมด
     เราที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อเอ่ยคำว่าแม่ทีไร ก็มักจะรู้สึกเกินออกไปจากความหมายที่เป็นชื่อเท่านั้น ย่อมนึกถึงความสัมพันธ์ที่แม่มีต่อเราเกือบทุกครั้ง แม่รักลูกถนอมลูก สงสารลูก หวังดีต่อลูก จะไปไหนจากบ้านก็เป็นห่วงลูก รับประทานอะไรก็คิดถึงลูก ถึงกับแบ่งของรับประทานนั้นไว้ให้ลูก ลักษณะเหล่านี้ย่อมตรึงใจเรามิวาย"
 
     อย่างไรก็ตาม การที่ทางราชการประกาศกำหนดวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปีเป็น วันแม่แห่งชาติ ย่อมก่อให้เกิดวันอันเป็นที่ระลึกที่สำคัญยิ่งของไทยเราวันหนึ่งและกำหนดให้ถือว่า ดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่ตัวเรา อย่างคำประพันธ์บทดอกสร้อยชื่อ แม่จ๋า ของ ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ที่ว่า
ดอกเอ๋ยดอกมะลิ
ถึงยามผลิกลิ่นพราวสกาวต้น
สดสะอาดปราศสีราคีระคน
เหมือนกมลสดใสหมดระคาย
กลิ่นมะลิหอมกระไรไม่รู้สร่าง
เปรียบได้อย่างรักแท้ไม่แปรหาย
อันรักแท้แลหัวใจได้บรรยาย
ขอเชิญทาย ณ ที่ไหนจากใครเอย
 
..........................................อ้างอิง.......................................................
http://guru.sanook.com/2537/







วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

18 สิงหาคม วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของไทย และแน่นอนว่าเป็นวันสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์และ ดาราศาสตร์ไทย ซึ่งกำหนดให้ทุกวันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เพราะเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงได้ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง เมื่อ พ.ศ. 2411 นั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินชลมาครและสถลมารค ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ทรงคำนวณล่วงหน้าไว้ 2 ปี ว่าจะเกิดในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง โดยจะเห็นหมดดวงที่หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตรงเกาะจานไปถึงปราณบุรี ลงไปถึงจังหวัดชุมพร จึงได้โปรดเกล้าให้สร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ และนำคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศสเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย
รัชกาลที่ 4 ทรงฉายภาพร่วมกับคณะ ณ ค่ายหลวงหว้ากอ
รัชกาลที่ 4 ทรงฉายภาพร่วมกับคณะ ณ ค่ายหลวงหว้ากอ
และด้วยผลการคำนวณที่แม่นยำของรพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เซอร์แฮรี ออด จึงได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ว่า “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระสำราญมาก เพราะการคำนวณเวลาสุริยุปราคาของพระองค์ ได้พิสูจน์ว่าถูกถ้วนสมบูรณ์ที่สุด ยิ่งกว่าชาวยุโรปคำนวณไว้ได้เสียอีก
ต่อมา สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มีแนวคิดที่จะถือว่าวันที่ 18 สิงหาคม เป็นวิทยาศาสตร์ไทย ต่อมาจนวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี เป็น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” จนทุกวันนี้
วัตถุประสงค์ของการจัดวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
  • เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
  • เพื่อเป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานด้านการค้นคว้า และวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ซึ่งมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ
  • เพื่อสนับสนุนโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แก่นักประดิษฐ์รุ่นต่อไป
  • เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและ เอกชนในการนำวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ. 2532 พิทักษ์สิ่งแวดล้อมของชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2533 เพิ่มคุณค่าทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2534 ขจัดมลพิษทุกชีวิตจะปลอดภัย
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2535 เปลี่ยนขาดทุนให้เป็นกำไร โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2536 วิทยาศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มคุณค่าชีวิต พิทักษ์สิ่งแวดล้อม
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2537 ขจัดปัญหาน้ำของชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2538 เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวไกล เศรษฐกิจไทยมั่นคง
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2539 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาชาติไทยให้ก้าวหน้า
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2540 พัฒนาคน พัฒนาชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2541 พัฒนาเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์ พัฒนาชาติด้วยภูมิปัญญาไทย
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2542 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตไทยที่ยั่งยื่น
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2543 พัฒนาคน พัฒนาชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2544 วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เพื่อเศรษฐกิจและสังคมไทย
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2545 เหมือนกับช่วงปี 2544
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2546 เส้นทางแห่งการค้นพบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณค่าแห่งภูมิปัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2547 เศรษฐกิจของชาติมีปัญหา วิทยาศาสตร์มีคำตอบ
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2548 วิทยาศาสตร์คือความรู้สู่ความสำเร็จ
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2549 เศรษฐกิจพอเพียง เคียงคู่ไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2550 วิทยาศาสตร์สร้างปัญญาในสังคม
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2551 วิทยาศาสตร์สร้างชาติ สร้างอนาคต
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2552 วิทยาศาสตร์ก้าวไกล นำไทยก้าวหน้า
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2553 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ.2554 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์
  • คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ. 2555 วิทยาศาสตร์คือความรู้สู่ความสำเร็จ

กิจกรรมในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
โดยทั่วไปในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ จะมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ และเป็นกิจกรรมเชิดชูดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล่าเจ้าอยู่หัว โดยส่วนมากจะมีกิจกรรมดังนี้
  • จัดกิจกรรมส่งเสริมงานด้านวิทยาศาสตร์และ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ทั้งในสถาบันการศึกษาและ หน่วยงานต่างๆ
  • ร่วมพิธีวางมาลา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
  • จัดนิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


อ้างอิง.............http://scoop.mthai.com/speci

aldays/5287.html